เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ก.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูทางโลก เห็นไหม ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ชีวิตเรามันจะเปลี่ยนแปลงนะ แต่เราไปชะล่าใจกันเอง เราไปนอนใจไง ว่าชีวิตเรายาวไกล ประมาทกับชีวิตนะ มาวัดมาวานี่มาทำไม? เวลาพระบวช เห็นไหม เวลาบวชประเพณีเขาบอกว่าไปพักผ่อน เกษียณแล้วไปบวชไปพักผ่อน พักผ่อนมันก็เป็นเล้าหมูไง มันเป็นฟาร์มเลี้ยงหมู แต่เวลาปฏิบัติไม่ใช่พักผ่อนหรอก

บวชมานะ เห็นไหม แม้แต่พระด้วยกันเอง บอกว่าพระปฏิบัติกำหนดพุทโธ พุทโธ หลับตาอยู่จะไปรู้อะไร? กำหนดพุทโธ พุทโธ กว่าจะเอาใจได้นะ งานของการประพฤติปฏิบัติยากกว่าโลกหลายเท่าเลย แต่คนมันมองกลับกัน มันมองว่าการทำมาหากิน การได้สมบัติมา การอาบเหงื่อต่างน้ำนั้นเป็นงาน ไอ้นั่งเฉยๆ นี่ นั่งเฉยๆ กำหนดลมหายใจ เอาใจเราไว้ให้ได้กับตัวนี่มันต่างกันมากเลย

ดูสิมันไปเข้ากับสมัยก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม มันมีพราหมณ์อยู่แล้ว พราหมณ์เขาอ้อนวอนขอเอา ทำขอเอา เหมือนกับเราปัจจุบันนี้ไปหาเจ้าเข้าทรง ไปอ้อนวอน ไปสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ไปอ้อนวอนขอเอา พออ้อนวอนขอเอา จิตมันเป็นโลกๆ ไง จิตเป็นโลกๆ มันมีที่เกาะ เกาะคือเกาะเรื่องไสยศาสตร์ เกาะเรื่องสิ่งที่อ้อนวอนขอ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธทุกๆ อย่างเลย

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พอตนเท่านั้นตนเป็นใหญ่แล้ว พอตนเป็นใหญ่แล้วเราจะทำอะไร? แต่ถ้าอ้อนวอนขอนี่เราอ้อนวอนเขาใช่ไหม? มันเหมือนกับเด็ก มันมีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มันอ้อนวอนขอ ดูสิเด็กๆ มันแบมือขอเอาทั้งนั้นแหละ มันรีดไถพ่อแม่มัน ถึงเวลาพ่อแม่ต้องให้ พ่อแม่ต้องให้

นี่ก็เหมือนกัน ไปอ้อนวอนขอเจ้าเอา แล้วไปติดสินบน เห็นไหม ต้องอย่างนั้น ต้องทำได้ ทำได้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปอ้อนวอนใครล่ะ? มันไปอ้อนวอนใคร? มันไปขอมาจากใคร? เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคคือการกระทำของใจ ถ้าใจกระทำของเราขึ้นมาได้ เห็นไหม การกระทำของเรา เรานั่งสมาธิภาวนาของเรา มันไม่ใช่บวชมาพักผ่อนหรอก มันบวชมาต่อสู้กับกิเลส มันต่อสู้กับตนเอง ต่อสู้ให้ได้

การต่อสู้ งานอันละเอียดไง งานจากภายใน งานภายในงานอันละเอียด งานต่อสู้กับกิเลส งานต่อสู้กับตัวตนนะ มันบังคับตัวยิ่งกว่า ดูสิเราทำหน้าที่การงานทางโลก มันอยากทำ มันพอใจ มันทำเพราะอะไร? เพราะสิ่งเร้าไง มันมีสิ่งเร้าไง เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก มันอยากได้สมบัติ มันอยากได้สถานะ มันอยากของมัน นั่นมันเป็นสิ่งเร้า

แต่เวลาเราจะชำระมัน เห็นไหม เวลาจะชำระมัน เพราะอะไร? เพราะตัณหาความทะยานอยากมันแสวงหา มันต้องการเรียกร้องออกไปหาผลประโยชน์ของมัน แล้วเวลาทำขึ้นมานี่ผลประโยชน์ของกิเลสไง มันว่าเป็นประโยชน์ของมัน ผลประโยชน์ของกิเลสนะ แต่ทำให้เราสึกหรอ แม้แต่ความคิด ดูสิความคิดยังเครียดเลย ทำให้เราทุกข์ให้เรายาก มันว่าเป็นผลงานของมัน มันเป็นเรื่องตัณหาความทะยานอยาก แต่เราขาดทุนๆ ขาดทุนในอะไร? ขาดทุนในชีวิตนี่ไง

ดูชีวิตเรา เห็นไหม หน้าที่การงานมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าเราทำหน้าที่ของเราก็คือหน้าที่การงานของเรา แต่เราต้องรู้จักตัวเราด้วย ถ้าเรารู้จักตัวเราด้วย นี่งานนั้นจะมีศีลธรรมควบคุมไป ผู้ที่มีปัญญาฉลาดรอบรู้มาก แล้วมีศีลธรรมจริยธรรมมันจะเป็นที่พึ่งของโลก เวลาสิ่งต่างๆ เขาต้องการคนที่มีปัญญา ต้องมีความกล้าหาญมันถึงจะพาสังคมนั้นไปได้ พาสังคมนะ

นี่กระแสของโลก เห็นไหม ถ้าเราไม่มีปัญญา กระแสของโลกกลบเราไปเลย เราต้องไปตามกระแสของโลกเลย เพราะอะไร? เพราะนั่นมันเป็นปัจจัย เป็นเรื่องของโลกๆ เราไปกับเขา ไปหมดเลย แต่ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เราจะไม่ไปกับกระแสของโลก เราจะไม่ไปกับกระแสของเขา สิ่งที่ไปกับกระแสของเขานั่นมันเป็นหน้าที่การงาน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเห็นคุณงามความดีของเราขึ้นมา เราต้องมีจุดยืนของเรา ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เห็นไหม เรามากระทำ

บวชมาแล้วนั่งเฉยๆ นะ นั่งนิ่งๆ นี่วงการพระ ว่าพระปฏิบัติไม่มีปัญญาๆ มันจะรู้ได้อย่างไร? ในเมื่อกำหนดพุทโธ พุทโธเฉยๆ มันจะรู้ได้อย่างไร? ไปศึกษาเล่าเรียนมาขนาดนั้น เห็นไหม ไปศึกษาเล่าเรียน ได้ใบประกาศมาเป็นตู้ๆ เลยนะ มันรู้อะไรนั่นน่ะ มันรู้อะไร? มันรู้สมบัติเขา เหมือนเราเห็นบัญชีของคนอื่นในธนาคาร เขามีบัญชี เลขบัญชีเขาขึ้นเต็มไปหมดเลย แล้วเป็นของเราไหม? มันไม่เป็นของเราหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ไปศึกษามามันเป็นสัญญา มันเป็นความจำ เด็กมันก็ศึกษาได้ ใครก็ศึกษาได้ คฤหัสถ์ก็ศึกษาได้ พระก็ศึกษาได้ ศึกษามาเป็นความจำหมดเลย ความจำนั้นมันเป็นความจริงไหม? มันไม่เป็นความจริงเพราะอะไร? เพราะว่าศึกษามาแล้วมันเป็นโลกธรรม ๘ เห็นไหม มีลาภเสื่อมลาภ มีความรู้ไง

มันนึกว่ามันมีความรู้ มันมีความรู้ มันมีปัญญา เห็นไหม โอ๋ย.. พระไตรปิฎกว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนั้นนะ พระไตรปิฎกว่าอย่างนั้น แต่ใจเราว่าอย่างไร? ใจเรานี่ว่าอย่างไร? ใจของเราว่าอย่างไร? รู้ใจของเราไหม? ถ้ารู้ใจของเรามันต้องเข้ามาปฏิบัติ มันต้องรู้จริง ถ้ารู้จริงขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ว่าหลับตาอยู่แล้วมันจะรู้อะไร? นี่รู้ดีกว่านั้นเยอะมาก

รู้ดีนะ รู้ดีกว่าเพราะอะไร? ปัจจยาการ เห็นไหม ปัจจยาการของจิต อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง โอ๋ย.. เขียนเป็นผังนะ ต้องเป็นอย่างนั้น อธิบายกันปากเปียกปากแฉะเลย แต่มันเป็นความจริงอย่างนั้นไหม? น้ำมันเวลาจุดไฟมันจะค่อยๆ ติด มันต้องเป็นปัจจยาการติดทีละอันนะ มันต้องขับเคลื่อนไปนะ นี่ไฟมันจะไปจุดน้ำมันนะ น้ำมันต้องค่อยๆ ติดตัวขึ้นมา มันจะเป็นอย่างนั้นไหม? มันไม่เป็นอย่างนั้น น้ำมันเชื้อเพลิงที่มันเป็นไวไฟนี่ไว้ใจไม่ได้เลย เวลาเข้าไปใกล้ๆ มัน ถ้ามันระเบิดขึ้นมาเราตายเลย

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของเรา เราไปศึกษาอยู่ข้างนอก เห็นไหม นี่มันจะเป็นอย่างนั้น เวลามันติดขึ้นมาในหัวใจมันจะเป็นอย่างไร? มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันไม่เป็นความจริง แล้วศึกษามานี่มีความรู้อะไร? รู้ไม่จริง รู้เป็นวิชาการ แต่ถ้ารู้จริงขึ้นมานี่เราดับไฟได้ ถ้ารู้จริงเราดับไฟของเราได้ เรารู้จักไฟของเรา เราดับไฟของเรา ดับความทุกข์ของเราได้ มันเป็นความจริงของเราได้ แล้วเราอธิบายเขาได้ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร? เพราะความรู้จริง ความรู้จริงนี่การเอาชนะตนเอง

นี่ศาสนาพุทธสำคัญมาก สำคัญจริงๆ แต่ขนาดสำคัญนี่มันธรรมเหนือโลกไง ประสาเราว่าอยู่กับโลกมันก็ต้องมีเปลือก มีแก่น มีกระพี้ มีเปลือกเป็นพิธีกรรมต่างๆ อยู่กับโลกเพื่อจะโลกไง ถ้ามันไม่มีสิ่งนี้เลย เราจะเอาเครื่องอะไรดำเนินเข้าไปหาหัวใจ การดำเนินเข้าไปหาหัวใจนะ ดูสิเรื่องการภาวนา เห็นไหม เริ่มต้นต้องกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก นึกพุทโธ นี่คำบริกรรมต่างๆ ให้จิตมันเกาะไว้ ให้จิตมันมีตัวตน

สิ่งที่เป็นนามธรรมทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาให้ได้ ถ้าเป็นรูปธรรมนะ สิ่งนี้นี่จิตแก้จิต สติจับจิต ความรู้สึกมันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา แต่เวลาเราทำงานนะ เราเอาอันนี้ออกไปเป็นทฤษฎี เป็นสูตรทฤษฎี เห็นไหม ดูสิทางวิชาชีพทั้งหมดเป็นปัญญา มันเป็นทฤษฎี มันไปจากใจทั้งนั้นเลย นี่ใจเป็นคนรู้ ใจเป็นคนคิด ใจเป็นประธาน ถ้าไม่มีใจซักอย่างนะ คนตายคิดอะไรไม่ได้ คนตายคิดไม่ได้หรอก

นี่คนเป็นมีสมอง มีปัญญา มีจิต มีวิญญาณ มันถึงคิด มันถึงค้นคว้า นี่คนทำทั้งนั้นเลย คนทำขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับการดำรงชีวิต เพื่อความสะดวกสบายของการดำรงชีวิตเท่านั้นเอง แต่มันไม่สามารถเข้าไปชำระกิเลสได้ ไม่สามารถชำระกิเลสได้เลย เพราะกิเลสมันไม่เคยอิ่ม นี่ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง ถมไม่เต็มหรอก

การถมไม่เต็ม เห็นไหม นี่การประพฤติปฏิบัติมันถึงเป็นงานหนักหนานะ มันมองกันโดยโลกไง มองโดยโลกว่าพระนี่อู้ฮู ไม่ทำอะไรเลย พระนี่ทำไมเป็นคนที่มักง่าย คนที่ขี้เกียจ คนที่ไม่เอาอะไรเลย แต่จริงๆ เรานั่งเฉยๆ ดูสิผู้บริหารกำหนดนโยบาย เขานั่งเฉยๆ นั่งจนเบลอเลยนะมันเครียดมากไง มันใช้ความคิด มันใช้ปัญญา ใช้ความคิดว่าเราจะรับผิดชอบอย่างไร? เราจะบริหารจัดการเรื่องอย่างนั้นได้อย่างไร? นี่แล้วเราสั่งเป็นนโยบายออกไป

นั่นเป็นผู้บริหารนะ แต่เวลาจิตมันคิดมันละเอียดกว่านั้นอีก เพราะมันไม่มีตัวตน มันมองไม่เห็นอะไรเลย ถ้าไม่มีสติเข้าไปจับมันไม่เห็นอะไรเลยนะ แต่ถ้าสติไปจับ สิ่งที่ไปจับ ถ้าจับได้ขึ้นมาจะตื่นเต้นมาก จะตื่นเต้น เห็นไหม ดูสิเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเรารู้สิ่งใดๆ ขึ้นมา จะลุกขึ้นกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบนะมันซึ้งบุญซึ้งคุณไง มันซึ้งบุญซึ้งคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้ธรรมนะ อย่างพวกเราจะมีปัญญาไหม? มันจะมีปัญญาอย่างไร? ที่ความรู้อย่างนี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ว่าไม่มีต้น เริ่มต้นแล้วสืบต่ออย่างไร? เป็นภาวนามยปัญญามันลอยมาไหน? ดูสิเราศึกษานี่ สุตมยปัญญาจะมีข้อมูลใช่ไหม? ทางวิชาการเราไปศึกษาของเขา เราศึกษาแล้วเรามาต่อยอดของเราใช่ไหม? นี่สุตมยปัญญา

จินตมยปัญญา เห็นไหม ดูสิภาวนาไป จินตนาการของมันไป นี่จินตมยปัญญา จินตมยปัญญามันก็เป็นจากไหนล่ะ? ก็เป็นจากข้อมูล เป็นจากการจินตนาการของเรา แล้วภาวนามยปัญญามันเป็นธรรมจักร มันเป็นธรรมเหนือโลกมันมาอย่างไร? แล้วมันขึ้นมา เราสามารถสร้างมันขึ้นมา แล้วขึ้นมาแล้วมันเป็นไป นี่สัจธรรม เห็นไหม

อรหัตตมรรค อรหัตตผล! นี่เวลามันวิปปยุต สัมปยุตกัน อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันเป็นสืบต่อ การสืบต่อของปัญญา การสืบต่อของการเคลื่อนไหวไป ที่มันรวมตัวเข้าไปแล้วมันทำลายกันไป แล้วที่มันหลุดออกไปจากอรหัตตมรรค อรหัตตผล นิพพาน ๑ มันออกไปอย่างไร? มันหลุดพ้นออกไปจากอรหัตตมรรค อรหัตตผล ที่มันเป็นไป

นี่ความสืบต่อ ปัญญาที่เราเกิดขึ้น ที่ว่าขณะที่มันทำลายกันไปแล้วนะ มันกลับไปสู่สภาวะเดิมของเขา สู่สภาวะเดิมนะ เหมือนสวะ เหมือนสิ่งของที่มันเป็นไฟฟ้าขั้วบวก-ขั้วลบมันมาสปาร์กกัน เห็นไหม แล้วมันคืนออกไปเป็นธรรมชาติของมันอย่างเดิม แล้วสิ่งที่เกิดจากผลตรงนั้นล่ะ? ขั้วบวก-ขั้วลบมันเป็นพลังงานมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นจากผลขั้วบวก-ขั้วลบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา เกิดจากมรรคญาณเข้ามา ธรรมจักรมันหมุนเข้ามา แล้วมันทำลายอวิชชาออกไปอย่างไร? แล้วทำลายเหลืออะไรไว้? เหลือสิ่งใดไว้? นี่สิ่งนี้ตำรามีไหม? ตำราเคยมีไหม? แล้วงานอย่างนี้ งานรื้อค้นอย่างนี้ การลงทุนลงแรง มันลงทุนลงแรงขนาดไหน?

การลงทุนลงแรงนะ ความเพียรชอบ นี้เราไปคิดกันเองไงว่านี่เป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นการลำบากเปล่า เราคาดฝันว่าการประพฤติปฏิบัติมันต้องสะดวกสบาย ก็เหมือนเราอยู่บ้านนอนสบายๆ นั่นแหละ หมูไง หมูมันนอนอยู่นั่นนะ นี่เราไปแล้วเราต้องเข้มแข็ง เราต้องค้นคว้าให้มันสะดุดใจนะ เดินจงกรมอยู่นี่สะดุดความคิด อึก! เห็นไหม ได้ประโยชน์แล้ว

นี่เดินจงกรมอยู่ นั่งสมาธิมันสะดุดใจ ใจมันสะดุดนะ อันนี้คืออะไร? ทำไมมันเป็นอย่างนี้? ทำไมเมื่อก่อนเราไม่เห็นอย่างนี้? นี่ไงมันรื้อค้นของมันนะ ทำไมความคิดอย่างนี้เมื่อก่อนไม่รู้เลย ทำไมความคิดอย่างนี้ เมื่อก่อนพยายามค้นคว้าทำไมไม่เกิดขึ้นมากับเราเลย เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันเกิดนี่ธรรมมันผุด พอธรรมผุดมันเตือนเรานะ เตือนเราว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมามีเหตุมีผล เราจะค้นคว้าหาเหตุผล แล้วมันเกิดมาอย่างไร? มันมาจากอะไร?

มันมาจากจิตหมด! มันมาจากต้นขั้วของใจทั้งหมด มันมาจากภพ มันมาจากภวาสวะ มันเกิดจากฐานข้อมูลของเราทั้งนั้นเลย ฐานข้อมูลของเรา เรารักษาของเรา ฐานข้อมูลของคนอื่น ฐานข้อมูลของเขาเป็นเรื่องของเขา ฐานข้อมูลของเรา เราแก้ไขของเรา ถ้าฐานข้อมูลอันนี้เราไปทำให้มันสะอาด ฐานข้อมูล ข้อมูลสะอาดแล้วมันก็เป็นฐานเฉยๆ เป็นภพ! แต่ข้อมูลที่มันมีข้อมูลออกมา มันก็ออกมาเป็นความคิดหยาบๆ ที่มันเข้ามากระชากลากเราไป มันกระชากความคิดเราไป มันถึงเป็นทุกข์ๆ อยู่นี่ไง

นี่งานอย่างนี้งานทางโลกไม่มี งานทางโลก เห็นไหม ดูสิงานที่เขาละเอียดขนาดไหน? งานที่ทางวิทยาศาสตร์ขนาดไหน? เขาค้นคว้ากันมันยังมีสิ่งที่จับต้องเป็นวัตถุนะ สิ่งที่มันเป็นนามธรรมมันก็เป็นวัตถุของจิต คือว่ามันเป็นธาตุรู้ มันเป็นสสารที่มันมีอยู่ มันจับต้องได้ แต่ต้องจิตจับจิต เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มันจะละเอียดเข้าไปจับความรู้สึกอันนี้ นี่ทางโลกไม่มี มันมีไม่ได้หรอก มันมีไม่ได้ ถ้ามีได้นะมันจะเป็นของคงที่ไง

ทางวิทยาศาสตร์นี่ สูตรวิทยาศาสตร์มันมีของมันใช่ไหม? สูตรทฤษฎีมันมีของมันอยู่อย่างนั้นใช่ไหม? พิสูจน์ได้ตลอดเวลาใช่ไหม? นี่อย่างนั้นมันเรื่องโลกๆ แต่ไอ้นี่ถ้ามันไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพุทธวิสัย ไม่มีพุทธภูมิที่สร้างสมมา มันจะเอาอะไรเข้าไปจับมัน เพราะอะไร? เพราะใจของเรามันอ่อนแอเกินไป ใจของคนนี่ต่ำลงเรื่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่เข้มแข็งสามารถที่จะเข้าไปรู้ใจของเราได้

แล้วครูบาอาจารย์ที่จะรู้จริงมันต้องมีความเข้มแข็ง แล้วพอมีความเข้มแข็งขึ้นไป ในสายตาของเราก็ว่า โอ้โฮ ทำขนาดนั้นเชียวหรือ? โอ้โฮ! โอ้โฮ! ไปตกใจ ไอ้นั่นมันเป็นงานธรรมดาของท่าน ท่านทำของท่านได้เพราะงานที่จะไปชนะตนเอง งานที่จะเหนี่ยวรั้งความรู้สึก ความคิดมันก็ต้องแรง ถ้ามันแรงนี่มันก็ทันกัน

เราไปโอ้โฮ โอ้โฮ ก็เข่าอ่อนสิ พอเข่าอ่อนน่าสงสารเนาะ อู้ฮู ไม่น่าทำขนาดนี้เลยเนาะ กิเลสมันหัวเราะเยาะ ก้าวเดินก็ไม่ได้หรอก ไปนอนกองกันเหมือนขอนซุงนั่นไง แต่ถ้ามันเป็นขึ้นมานะไม่ต้องโอ้โฮ เอาเลย สู้มัน! สู้มัน! สู้มัน เห็นไหม มันก็เข้มแข็งขึ้นมา

นี่โลกเขามองกันอย่างนั้น เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็ว่า โอ้โฮ ทำไมต้องทำขนาดนั้น? ทำไมต้องไปอยู่ในป่าช้า โอ๋ย.. มันไม่น่าอยู่ ก็กิเลสมันไม่ชอบ กิเลสมันชอบนอนในโรงแรม นอนในที่ดีๆ ถ้าไปที่วิเวก ไปที่สงัดมันไม่เอาแล้ว เห็นไหม ก็จะฆ่ามัน จะทำให้มันยุบยอบ จะทำให้มันอ่อนตัวลง เพื่อจะฆ่ามัน เห็นไหม นี่คือการประพฤติปฏิบัติ

จะบอกว่ามาวัดมาวา มันจะเอาความสะดวกสบายอย่างนั้นไม่ได้หรอก เอาสะดวกสบายแบบโลกไม่ได้ แต่มันจะมีความสุขมาก ถ้าเมื่อเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ความสุขอะไรเท่ากับจิตสงบนี้ไม่มี ถ้าจิตมันสงบ มันพอใจของมันนะ อยู่โคนไม้ก็สุข จะอยู่ที่ไหนก็สุข มันมีความสุขของจิต จิตมันมีความสุข ถ้าไม่มีความสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขทำไม? ทำไมครูบาอาจารย์มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่?

วิหารธรรมนะ วิหารธรรมไม่ใช่โบสถ์ วิหาร ไอ้นั่นมันโบสถ์ มันอิฐ หิน ทราย ปูน วิหารธรรมมันอยู่ในหัวใจ ความสุขที่มันสงบ วิหารธรรม ธรรมในหัวใจมันเป็นเครื่องอยู่ ใจมันครองธรรมอยู่ มันอยู่ที่ไหนมันก็สุข ถ้าอยู่ที่ไหนก็สุขนะ วัตถุมันเลยเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น เราไม่ติดเรื่องเปลือก แต่เปลือกมันก็ต้องมีใช่ไหม? ผลไม้ต้องมีเปลือกโดยตลอด แต่ต้องรู้คุณค่าของเปลือกผลไม้ กับเนื้อผลไม้ ต้องรู้คุณค่าของกฎระเบียบ รู้คุณค่าของรูปธรรม เนื้อหาสาระ

มันเป็นรูปธรรม มันไม่ใช่เนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระคือหัวใจที่มันปฏิบัติ ที่มันรู้จริง นี่ถึงเป็นเนื้อหาสาระ เห็นไหม พอเนื้อหาสาระในการกระทำที่เป็นนามธรรม กับกิริยาการกระทำก็เป็นนามธรรม ต่อสู้กัน ทำให้ได้ ถ้าทำได้นี่ศาสนาเจริญที่นี่

การไปวัดไปวาไปต่อสู้กับกิเลส ไปต่อสู้กับเรา ไม่ใช่ว่าไปพักผ่อน ไม่ใช่หรอก การพักผ่อนนั้นไปชายทะเลดีกว่า ไปสปาเขาดูแลเราอย่างดีเลยด้วย ไอ้นี่มันไม่ได้พักผ่อน นี่ไปโต้แย้งกับกิเลส จะไปบังคับมัน จะไปดึงมันออกมา แล้วฆ่ามัน เอวัง